วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

คำนำ Blog


ขึ้นเป็น blog มาตั้งนาน แต่ยังไม่มีเวลาเขียนบทความเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเขียนอยู่หลาย blog วันนี้มาขึ้นคำนำกันเสียหน่อยดีกว่า

ท่ามกลางความสับสน ซับซ้อนซ่อนเงื่อนของสิ่งต่างๆ ในระบบความรู้ ในระบบปัญญา รหัสนัยเบื้องหลังของสารที่ส่งออกมาจากผู้คน องค์กร กลุ่มคน ฯลฯ ใครเลยจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆกันแน่ในโลกใบนี้ ทำไมคนทุกวันนี้จึงคุยกันไม่รู้เรื่อง ทำไมการสื่อสารระหว่างผู้คนไม่เคยดีขึ้นตามเทคโนโลยีเลย และทำไมความขัดแย้งความไม่เข้าใจกันในสังคมถึงได้มากขึ้นเรื่อยๆ? และอะไรที่ปิดบังความจริงอยู่

โรงเรียนระหว่างบรรทัด นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขจัดความเชื่อ ทิฏฐิมานะในความเชื่อความเห็นทั้งหลายที่ปิดบังความจริงในปรากฏการณ์ต่างๆ ให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงเนื้อหาธรรมชาติเดิมของแต่ละสิ่งอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของการเรียนรู้ของมนุษย์ ธรรมชาติของสื่อชนิดต่างๆ ธรรมชาติของความเป็นไปกลไกของความคิด จิตใจ เนื้อหาที่แท้จริงที่แอบซ่อนอยู่ระหว่างตัวอักษร นัยยะที่หลบเร้นอยู่ในความหมายระหว่างบรรทัด ชำแหละกลไกของระบบการศึกษาที่มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ตลอดไปจนถึงการเชื่อมโยงเนื้อหาต่างๆ ความเป็นไป ความสัมพันธ์ ผลกระทบระหว่างกันของการศึกษาและชีวิต หรือของระบบเศรษฐกิจกับชีวิต เพื่อล้างความสับสนสาละวนวุ่นวายที่ไม่จำเป็นออกไปเสียให้หมด พูดง่ายๆว่าเนื้อหาของโรงเรียนระหว่างบรรทัดนั้นครอบคลุมเรื่องราวของการเรียนรู้ที่มีต่อชีวิตทั้งหมด

ผมเองไม่ใช่นักการศึกษา ไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่มีอะไรรับรองเนื้อหา ไม่มีเครดิตอะไรให้เชื่อถือได้ แต่ขอให้ลองอ่านเนื้อหาบทความดูก่อน ลองอ่านดูว่าเป็นจริงตามที่ผมถ่ายทอดหรือไม่ สิ่งที่เขียนทั้งหมดนี้เกิดจากปัญญาญาณส่วนตัวที่เข้าใจถึงกระบวนการต่างๆไปเองเมื่อได้สัมผัสกระบวนการและสิ่งต่างๆเกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยไม่มีกรอบทฤษฏี สมมติฐานใดๆ มาจำกัด ซึ่งนี่คือข้อดีอย่างหนึ่งของการไม่ได้เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียกับกระบวนการต่างๆ องค์กรต่างๆที่เกี่ยวกับการศึกษา ไม่มีตำแหน่งแห่งหนที่จะกลายเป็นกรอบมาจำกัดความเป็นจริงอะไรอีก ทำให้ผมสามารถพูดได้อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาถึงปัญหาต่างๆ โดยไม่ต้องรักษาจุดยืนในวิชาชีพของตน ไม่ต้องสงวนท่าทีให้ตนได้มีที่ยืน ซึ่งหลายๆครั้ง จุดยืนของคนในระบบการศึกษาเองก็เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกกันเสียที มาใน blog นี้ก็จะไม่ต้องเกรงอกเกรงใจอะไรกันล่ะครับ เพราะเราจะพูดแบบไม่มีต้นทุน ไม่มีอะไรจะเสียแม้กระทั่งตัวเอง

เนื้อหาทั้งหมดใน blog ของโรงเรียนระหว่างบรรทัดนั้น จะอ้างอิงจากบรรทัดฐานของความเป็นมนุษย์และธรรมชาติเป็นหลัก เพราะความเป็นมนุษย์นั้นก็คือสิ่งที่ธรรมชาติให้มาตั้งแต่ดั้งเดิม ผมไม่ได้เขียนจากกรอบแห่งทฤษฏี สมมติฐานหรือความเชื่อที่สืบทอดต่อๆกันมา เพราะไม่ต้องส่งวิทยานิพนธ์และไม่ต้องกลัวหากพูดล้างความเชื่อไปแล้วอาจารย์จะให้ผ่านไหม และสิ่งนั้นยิ่งกลับกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ มัวแต่เสียดายในสิ่งที่ไม่ใช่ก็ยิ่งเสียเวลา

ซึ่งการที่เราจะแก้ปัญหาสิ่งต่างๆให้ได้อย่างถาวร ก็จะต้องแก้ไขในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ให้หมด ไม่ใช่ไปแก้ไขมนุษย์ให้เข้ากับระบบที่คิดกันขึ้นมาเองอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งระบบที่คิดกันขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่ก็ล้วนมาจากอิทธิพลการมีส่วนได้ส่วนเสียของผู้ที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปเพื่อสนองความต้องการของคนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นเอง ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่ามันล้มเหลวยังไงบ้าง แล้วก็แก้ไขกันไม่ได้สักที เพราะต่างฝ่ายต่างสงวนจุดยืนของตนทั้งๆที่จุดยืนของตนเองนั่นแหละคือปัญหาเสียเอง ยอมรับความจริงกันตรงนี้ได้การปฏิรูปที่แท้จริงจึงจะเกิดขึ้นได้

ถึงเวลาปฏิรูปก็ควรจะทำให้มันสุดซอยครับ การเปลี่ยนผ่านนี้แม้จะเจ็บปวดบ้างกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ก็จำเป็น เพื่อที่เราจะได้ไม่ส่งต่อวิบากกรรมให้กับเด็กๆรุ่นลูกรุ่นหลานกันอีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น