การศึกษาหรือการเรียนการสอนหนังสือนั้น เริ่มต้นมาจากการที่พระในศาสนาคริสต์หรือมิชชันนารี ได้ออกเดินทางไปที่ต่างๆทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ศาสนา เพื่อสอนเนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิลให้แก่เด็กๆ ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่พ่วงวัตถุประสงค์ทางการเผยแพร่ศาสนาเข้าไปด้วย การเรียนในลักษณะนี้จึงเป็นการเรียนฟรี ไม่ต้องเสียเงิน
เมื่อโลกเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม การศึกษาแบบไม่เป็นทางการก็เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบของโรงเรียน รูปแบบของระบบการศึกษา เริ่มมีหลักสูตร เริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น ระบบโรงเรียนในยุคอุตสาหกรรมนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้พ่อแม่ได้เอาเด็กๆมาฝากเพื่อเรียนหนังสือ ในขณะที่พ่อแม่ต้องเข้าไปทำงานในโรงงาน วัตถุประสงค์ของการศึกษาจึงเปลี่ยนไปจากการเรียนพระคัมภีร์มาเป็นการเรียนเพื่อเป็นพื้นฐานในการทำงานแทน และภาพจำลองของระบบโรงเรียนก็คือโรงงานอุตสาหกรรมดีๆนี่เอง
ในระยะต่อมาจากช่วงเริ่มต้นของยุคอุตสาหกรรม จนถึงปัจจุบัน การศึกษาก็ค่อยๆถูกปรับเปลี่ยน เพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เมื่อสังคมแบบปัจเจกชนเบ่งบาน ระบบการศึกษาก็เป็นไปเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ส่วนตัวของพ่อแม่มากขึ้น มีลักษณะเฉพาะตัวมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่หรือตัวเด็กเอง
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานับจากอดีต ระบบการศึกษาที่จัดโดยรัฐได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของรัฐในการสร้างคน สร้างแรงงาน เพื่อพัฒนาชาติบ้านเมือง ในการปลูกฝังความเชื่อ ค่านิยมต่างๆ ตลอดจนถึงการเป็นเครื่องมือของระบบทุนนิยมในการผลิตแรงงานป้อนระบบ จนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบันที่ ธุรกิจเข้ามาหากินกับระบบการศึกษาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เปรียบเหมือนการก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของฟาร์มไก่ที่ ดูแลตั้งแต่เป็นไข่ ฟักเป็นตัว อนุบาลตัวอ่อน เลี้ยงให้โต ไปจนถึงโรงเชือด เบ็ดเสร็จครบวงจร และมีผู้คนมากมายเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียในระบบการศึกษาที่ซับซ้อน
ปัจจุบันระบบการศึกษานั้นถูกครอบงำโดยระบบทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ เป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ เรียกว่าถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของระบบทุนนิยมทั้งระบบการศึกษาและเด็กๆที่อยู่ในระบบโรงเรียน ไม่ได้อยู่บนพื้นโลกหรือบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และธรรมชาติ เด็กๆจึงถูกสอนด้วยเนื้อหาที่ซับซ้อนผิดธรรมชาติ เพื่อให้คุ้นชินกับระบบที่ซับซ้อน เด็กๆถูกปฏิบัติราวกับจะต้องมาเป็นแรงงานตลอดชีวิต ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องแข่งขัน ต้องไต่เต้า ปรับชีวิตให้เข้ากับตารางเรียนที่ออกแบบมาคล้ายกับระบบการทำงาน พ่อแม่ต้องเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดบนระบบการศึกษาที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ต้องเรียนพิเศษเอาเป็นเอาตาย ต้องใช้ชีวิตคล้ายคลึงกับการทำงานในระบบธุรกิจที่ทำงานอาทิตย์ละ 5 วัน
การศึกษาในปัจจุบันไม่ได้มีพื้นฐานบนความเป็นมนุษย์เลย แต่สอนให้เป็นผู้บริโภค สอนให้เข้าใจระบบอันซับซ้อนแต่ไม่สามรถที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ โรงเรียนสอนให้เด็กๆรู้จักบริโภค รู้จักเลือก แต่ตัดส่วนที่ควรจะสอนให้เด็กได้มีทักษะชีวิตในการพึ่งพาตนเองออกไปจนหมด เด็กที่ผ่านระบบการศึกษามาส่วนใหญ่จึงสูญเสียศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง ต้องรอคำสั่ง คิดเองไม่เป็น ริเริ่มอะไรไม่ได้ พ่อแม่ก็ไม่มีเวลาดูแลลูก ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของการเรียนพิเศษบ้าง ใช้เงินและสิ่งของเลี้ยงลูกแทนเป็นการชดเชยบ้าง โดยละเลยมิติของชีวิตเด็กไปจนหมด
ทุกวันนี้เราต้องใช้เงินจำนวนมากที่จะให้ลูกหลานได้เรียนโรงเรียนดีๆ ค่าเล่าเรียนสูงขึ้นมาก การศึกษาที่ดีจึงเป็นทางเลือกของคนกลุ่มเล็กๆที่มีเงิน กลายเป็นอภิสิทธิ์สำหรับคนหมู่น้อย แถมถูกตัดออกไปเป็น option พิเศษให้ไปเลือกเรียนพิเศษเพิ่มเติมกันอีก คนที่ไม่มีเงินส่งลูกเรียนดีๆ ก็ต้องจำยอมเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ด้อยคุณภาพไปอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้โอกาสทางสังคมน้อยลงไปอีก ซึ่งจริงๆแล้วคุณภาพก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไหร่ หากพิจารณาว่าเป็นการศึกษาบนความรู้มือสองเหมือนๆกันและเป็นระบบที่สร้างอยู่บนรากฐานที่เป็นปัญหาอย่างเดียวกัน
ส่วนคนที่เข้าใจปัญหาของระบบการศึกษจริงๆ ก็มักจะมองหาการศึกษาทางเลือกอย่างระบบ Montessori หรือ Waldorf หรือไม่ก็พาลูกออกจากระบบไปสอนเองในลักษณะของ Homeschool ซึ่งดีกว่าระบบการศึกษากระแสหลัก เพราะเด็กๆจะได้มีมิติชีวิตจริงๆ และไม่ทำลายทักษะการเรียนรู้ของเด็กๆมากจนเกินไป ไม่ใช่เป็นแค่เด็กกระป๋องที่ถูกผลิตออกมาเหมือนๆกันไปหมดเหมือนอย่างในระบบโรงเรียนภาคบังคับ ซึ่งการศึกษาทางเลือกก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากนักในปัจจุบัน
ดูเหมือนว่าระบบการศึกษาในปัจจุบันกำลังจะมาถึงจุดที่ท้าทายอย่างยิ่งพร้อมๆกับความเสื่อมของระบบทุนนิยม หากการระบบศึกษาไม่ได้ถูกปฏิรูปเพื่อแก้ไขปัญหาในเชิงรากฐานให้ถูกต้องเสียตั้งแต่ตอนนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นและสะสมมาอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานอีกหลายๆรุ่นแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ
ตอบลบ