วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กระบวนการเรียนรู้ที่กลับหัวกลับหางในระบบการศึกษา

ถ้าเด็กๆรู้ว่าเกิดมาแล้วจะเจออะไรบ้าๆแบบนี้ ผมว่าเขาคงไม่ขอเกิดดีกว่นะ
วันนี้ผมจะมาเล่าถึงความแปลกประหลาดของกระบวนการเรียนรู้ที่กลับหัวกลับหางที่สอนกันอยู่ในระบบการศึกษาให้เข้าใจกันแบบง่ายๆ

ก่อนอื่นลองนึกภาพวัวหนึ่งตัวนะครับ ถือว่าเป็นโจทย์ที่ใช้ในการศึกษาก็แล้วกัน

ระบบการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนได้ทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์และสร้างหลักสูตรการเรียนขึ้น โดยทำการแล่เนื้อวัว ถอดกระดูก ชำแหละเส้นเอ็น เครื่องในส่วนต่างๆ เส้นเลือด ระบประสาท สมอง ออกจากกัน แล้วนำมาให้นักเรียนได้แยกเรียนตามชิ้นส่วนต่างๆ อันเรียกว่าวิชาเฉพาะ แล้วก็พร่ำบอกนักเรียนว่านี่คือวัวที่เธอทั้งหลายจะต้องศึกษา นักเรียนก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะชีวิตไม่มีทางเลือกอื่นเลย ก็เลยต้องเรียนรู้เครื่องในวัวทีละชิ้นๆอย่างละเอียดเป็นเวลาสิบกว่าปีชนิดที่ไม่มีใครให้เจอวัวตัวจริงก่อนที่จะได้รับใบประกาศรับรองว่าเรียนจบ โดยมีคำมั่นสัญญาจากผู้ดูแลระบบการศึกษาว่า สิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์กับพวกเธอในภายภาคหน้าเมื่อเธอต้องเจอวัวตัวจริงๆ

พอเด็กๆจบออกมาจากระบบการศึกษาที่มุ่งแต่ศึกษาวัวอย่างละเอียดทุกเซล ทุกซอกทุกมุม แต่ไม่รู้จักวัวตัวจริง หรือพฤติกรรมและชีวิตของวัวจริงๆ ทำให้หลายคนพอเดินผ่านวัวตัวจริง กลับไม่รู้ว่ามันเป็นวัว ความรู้สึกมันเหมือนไม่รู้จักวัวมาก่อนเลย ทั้งๆที่เรียนกันอย่างละเอียดมาหมดแล้ว


ซึ่งที่สุดแล้ว เด็กๆจากระบบการศึกษาก็ต้องเสียเวลามานั่งเปรียบเทียบ เทียบเคียงว่าไอ้ที่เราเรียนมาทั้งหมดน่ะ มันคือส่วนไหนของวัวบ้าง บางคนใช้เวลาปีเดียวในการประกอบวัวที่ได้เรียนมาขึ้นมาใหม่ บางคนใช้เวลาหลายปี บางคนไม่มีเวลาแม้แต่จะได้เริ่มสงสัย เพราะต้องวิ่งไล่หาเงิน ก็เลยไม่รู้ว่าวัวที่เรียนมานั้นหน้าตาเป็นยังไง แต่ส่วนใหญ่ประกอบวัวของตัวเองได้เป็น แฟรงเก้นวัว(คล้ายแฟรงเก้นสไตน์เวอร์ชั่นวัว) คือ วัวที่ถูกจับเอาชิ้นส่วนต่างๆที่เคยศึกษามาเย็บประกอบเข้าด้วยกันใหม่ กลายเป็นวัวผีดิบที่ใช้งานได้ไม่เต็มที่ ฟังก์ชั่นการทำงานลั่กลั่น ไม่เข้ากับชีวิตจริง และมีปัญหากับมันตามมาอีกมากมาย

จุดหักมุมจริงๆอยู่ตรงนี้ครับ มันหักมุมตรงที่ ชีวิตจริงเราต้องเลี้ยงวัว ดูแลวัว สังเกตและทำความรู้จักพฤติกรรมวัวที่มีชีวิตจริงๆ เพื่อที่จะอยู่กับมันให้ได้ สิ่งที่เรียนรู้มาทั้งหมดเกี่ยวกับรายละเอียดเครื่องในวัว เนื้อหนัง เอ็น กระดูก ทุกซอกทุกมุมที่เรียนกันมาเป็นสิบปีนั้น มันไม่ได้ถูกเอามาใช้เลยในชีวิตจริง ต้องทิ้งเกือบหมด ไม่อย่างนั้นจะเป็นภาระกับชีวิตอีก ความรู้เหล่านี้มันถึงได้จบแค่ตอนสอบเสร็จนั่นแหละ

วัวที่ผมยกขึ้นมาเปรียบเทียบนั้น ก็คือชีวิตจริงนั่นเอง มีใครไหมที่เรียนไปเพื่อจะไม่ต้องใช้ชีวิต ไม่มีนะครับ แต่ที่เรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงนี่มันคืออะไร?

เหตุนี้เอง จึงไม่แปลกใจเลย ที่เมื่อเด็กๆเรียนจบมาแล้ว จะทำอะไรไม่เป็น เพราะไม่ได้มีประสบการณ์จากชีวิตจริงมาก่อน ได้แต่ประสบการณ์เทียมจากชิ้นส่วนวัวที่มีคนกลุ่มหนึ่งชำแหละเอามาให้เรียน ยกเว้นแค่เด็กที่ได้ไปสัมผัสวัวจริงๆมาก่อนแล้ว และไปเรียนรู้จากของจริงด้วยตัวเองนอกห้องเรียน นอกตำราเรียน

การผลักดันให้เด็กๆเรียนหนังสืออย่างเดียวจึงสร้างผลเสียให้กับชีวิตเด็กๆมากกว่าที่เราคิด ทำให้เขามีชีวิตมิติเดียว คือ เรียนเพื่อสอบให้ผ่านเท่านั้น

มันคือคนละเรื่องเดียวกันนะครับ
ที่เห็นมีความพยายามจะผลักดันการปฏิรูปการศึกษากันอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่ยังไม่ได้มองไปที่รากเหง้าของปัญหาแต่อย่างใด ยังเป็นเพียงแค่ ปฏิ "รูป" คือเปลี่ยนรูปลักษณ์หรือวิธีการภายนอกเท่านั้น แต่เนื้อหาที่เรียนก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ก็ยังนั่งเรียนเครื่องในวัวเหมือนเดิม เพราะเขาเปลี่ยนระบบการศึกษาให้เป็นโรงชำแหละวัวมาตั้งนานแล้ว ทำอย่างอื่นไม่เป็นกันแล้ว

กระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริงนั้น ไม่สามารถแยกจากชีวิตจริงได้เลย เมื่ออยู่ในโรงเรียนหรือระบบการศึกษา เด็กๆจะรู้สึกว่า วิชาต่างๆมันคือสิ่งแปลกปลอมของชีวิต แม้จะมีคนพูดกรอกหูเข้าตลอดเวลาว่ามีสาระมีประโยชน์ แต่มันก็คือสิ่งแปลกปลอม เพราะมันถูกจัดขึ้นโดยคนอื่นที่ไม่ได้มาจากความต้องการของเขาเองจริงๆ และเด็กก็จะกีดกันมันออกไปให้เป็นพียง "สิ่งที่ต้องเรียนเพื่อสอบให้ผ่าน" กลายเป็นกำแพง เป็นด่านที่จะต้องฝ่าฟันออกไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เช่น เก็งข้อสอบ จำข้อสอบเก่า เดาตัวเลือก ใช้สัมผัสที่ 6 โกงข้อสอบ เพื่อที่จะผลักมันออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุด รีบๆเรียนให้ผ่านไปเร็วที่สุด ได้คะแนนมากที่สุด อย่าให้สอบตก เพราะความซวยจะรออยู่อีกเพียบ โดยที่เด็กๆไม่สนใจว่ามันจะได้ใช้ในชีวิตจริงหรือไม่ เพราะเขาไม่เชื่อมโยงกับมันเลย

นี่คือเหตุที่ทำให้เด็กๆเบื่อโรงเรียน ไม่อยากตื่นเช้าไปโรงเรียน เครียด เก็บกด นั่งเหม่อลอยในห้อง นั่งหลับเวลาเรียน รอเวลาที่จะได้เล่นกับเพื่อนๆช่วงเวลาพักเที่ยงและหลังเลิกเรียน นี่มันไม่ต่างอะไรจากคุกเลย ไม่เชื่อลองถามตัวเองเลยว่าคุณจำอะไรที่เรียนมาได้บ้าง จำเนื้อหาที่เรียนในห้องหรือพฤติกรรมของเพื่อนสนิทได้ดีกว่ากัน

และสิ่งที่เราทำก็คือปลอบใจเด็กๆ ตะล่อมเด็กๆให้กลับไปเรียนรู้เครื่องในวัวกันต่อ เพื่อจะได้มางงกับวัวตัวจริงหลังเรียนจบ กลายเป็นวงจรอุบาทว์เหมือนเดิมซ้ำๆ สำหรับผม มันไม่มีอะไรที่จะแปลกประหลาดไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

การเรียนในระบบการศึกษา จึงเป็นการสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพื่อเรียนสิ่งที่แทบจะไม่ได้ใช้งานในชีวิตจริง เป็นเวลาสิบกว่าปี ทั้งๆที่เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้จากการเจอประสบการณ์จริงอยู่แล้ว โดยธรรมชาติการเรียนรู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว

ในระบบโรงเรียน เด็กๆจะถูกยอบย้อมครอบงำไปด้วยความเบื่อหน่าย ท้อแท้ ความสิ้นหวัง ความกลัว ความเครียดความกดดัน ความหวาดระแวง สิ่งเหล่านี้จะมาแทนที่ความกระตือรือล้น ความสนุกสนานร่าเริงในการเรียนรู้ที่ควรจะได้จากการเรียนรู้ในประสบการณ์ชีวิตจริงๆ ความรู้ที่ได้มาพร้อมกับความเจ็บปวดและขมขื่นจึงถูกลืมเลือนไปอย่างรวดเร็วเมื่อสอบเสร็จ สุดท้ายระบบการศึกษาก็เป็นได้เพียงเรื่องของอัตตาผู้ใหญ่ที่หลงคิดเอาเองว่า ตัวเองเก่งกว่าธรรมชาติการเรียนรู้เดิมที่ติดตัวทุกคนมาอยู่แล้ว และเด็กๆทุกคนต้องได้รับการสั่งสอน

เราควรจะเลิกวิธีการเรียนการสอนแบบแยกชิ้นส่วนวัวกันได้แล้ว เพราะเด็กๆเขานึกของจริงไม่ออก ไม่เห็นภาพรวม และรู้สึกว่าการศึกษาเป็นสิ่งแปลกปลอมของชีวิต สิ่งที่เราควรจะทำกับระบบการศึกษาคือ ให้เด็กๆได้เลี้ยงวัวจริงๆ(เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตจริง) ได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรมวัวจริงๆ ได้เรียนรู้ที่จะดูแลวัวจริงๆ ไม่ใช่การเรียนรู้เพื่อที่จะสอบให้ผ่านแค่นั้น

ถ้าเราลองย้อนกลับไปตั้งคำถามกับหลักสูตรเดิมๆและเปลี่ยนแปลงมันให้สอดคล้องกับชีวิตจริงๆ เรียนรู้วัวตัวจริงๆได้ ก็จะสามารถตัดเนื้อหาที่พะรุงพะรัง กำจัดความกลัว ความกังวล ความเครียด ความเบื่อหน่าย ท้อแท้สิ้นหวัง ความกดดัน ที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตเด็กออกไปได้เยอะเลย ผู้ปกครองเด็กๆก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินส่งให้ลูกไปเรียนในสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตอีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น